กลับมาอีกครั้งกับ Kin Over, Go Over นี่ก็เป็นทริปที่สามแล้วของบทความพาไปกินไปเที่ยวแบบต้นทุนต่ำแต่ได้อารมณ์สูง (Low cost, High value journey) ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงมากดีกว่า วันนี้จะพาข้ามไปถึงสองจังหวัด โดยทริปนี้ต้องบอกก่อนเลยว่า เต็มๆแน่นอน
เรื่องก็มีอยู่ว่าจริงๆแล้วอยากจะไปที่อยุธยา ปาร์คเพื่อทำการเปลี่ยนเครือข่ายมือถือ เพราะสอบถามแล้วว่าที่ใกล้สุดก็อยู่ที่นี่ ก็เลยไปบวกกับการอดทนไม่ไหวกับการรอคอยมาปีหนึ่งเต็มๆกับสุดยอดกุ้งเผา ก็เลยขับรถตรงดิ่งไปทันที มาอยุธยานี่ก็แสนง่าย ถ้ามาจากกทม.ก็ออกวงแหวนตะวันตกแล้วเลี้ยวเข้าบางปะอินได้เลย ถ้ามาจากสระบุรีก็ไปได้หลายทางแต่ครั้งนี้ก็มาทางพหลโยธินแล้ววกขึ้นสะพานไปธัญบุรี ไม่ถึงชั่วโมงก็เข้าสู่อยุธยา มองสองข้างทางตั้งแต่หน้านิคมโรจนะก็ยังมีร่องรอยน้ำท่วนอยู่ ที่นี่เขาท่วมจริงๆจัง ท่วมสูงพอๆกับหลังคารถของผมเลยด้วย แต่ก็เห็นการฟื้นตัวที่เร็วของจังหวัดนี้ก็ขอปรบมือให้กับพ่อเมืองด้วย
ขอบขอบคุณภาพจาก http://www.novabizz.com
มาถึงก็ 10:00 น. แต่ว่าช็อปของมือถือเปิดประมาณ 11:00 น. จึงคิดว่าจะเข้าไปไหว้พระและไปหาซื้อของฝากเลยดีกว่าเพื่อไม่ให้เสียเวลา
ขับรถเข้ามาวัดแรก ก็คือวัดใหญ่ชัยมงคล วัดที่ไม่รู้เป็นอะไรฝรั่งเยอะมาก!!! อาจเป็นเพราะมีเจดีย์ขนาดใหญ่ที่ถือว่าสมบูรณ์อยู่และวัดก็สะอาดสะอ้านดี วัดนี้ต้องให้เรื่องห้องน้ำเลย พอเข้ามาในวัดก็ตกใจ ทำไมวันนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติไปไหนหมด หรือเขายังไม่มั่นใจกับน้ำท่วมที่ผ่านมา แต่ก็ดี เพราะปกติไม่ได้เข้าง่ายๆแน่ จอดรถก็ง่าย ก็เข้าไปไหว้พระและก็ถ่ายรูปมาด้วย
แต่ที่ผมนั้นชอบที่สุดคือทางเดินรอบเจดีย์ใหญ่นี้มีพระพุทธรูปปรางค์นั่งสมาธิตลาดทาง ทำให้มองดูแล้วสงบมากขึ้นจริงๆ
ออกจากวัดใหญ่ชัยมงคล ก็ตามสเต็ปจะต้องไปวัดพนัญเชิง เพราะอยากไปดูรอยของน้ำท่วม เพราะวัดนี้ติดแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย แต่พอไปได้ไม่ถึงไหน รถติดมาก ก็เลยคิดว่าวันหลังแล้วก็วกรถกลับแล้วมุ่งไปวัดสุดท้ายเลยคือ วัดมงคลบพิตร วัดนี้ก็เก่าแก่และสวยงามมากแห่งหนึ่ง เพราะอยู่ในเขตตัววังสมัยโน้นเลย แต่ข้อเสียคือจอดรถจะไกลหน่อย แต่ระหว่างทางเดินก็จะมีร้านขายของฝากเพียบ เด่นก็หนังปลาทอด พวกหยีต่างๆ สารพัดต้องไปดูเอาเอง รับรองเงินต้องหลุดออกไปบ้างแน่นอน จุดขายของวัดนี้ที่พระพุทธรูปขนาดใหญ่สีทองอร่ามน่าสักการะเป็นที่สุด
หลังจากไหว้พระเสร็จจะมาให้ถึงอยุธยาสักทีต้องซื้อสายไหมกลับบ้าน ไม่รอช้าก็ขับรถพุ่งตรงไปที่ถนนหน้าโรงพยาบาลอยุธยาเลย (เส้นเดียวกับไปวัดไชยวัฒนาราม) เพื่อมาที่ร้านของ "อบีดีน" อยู่หน้า 7-11 ที่เขาบอกว่าอร่อยมาก (ผมแยกไม่ออกหรอก เพราะกินเจ้าไหนก็อร่อย) เจ้านี้ของบอกว่าอยู่หน้า 7-11 นะครับ แต่มีสอง 7-11 เพื่อความตื่นเต้นในการหาแถวนั้นยังมีอยู่ 2 ที่ซะอีก แต่ไม่เป็นไร เพราะเขาก็มีอยู่สองสาขาเหมือนกัน ใกล้ๆกับนั่นล่ะ
ออกจากสายไหมก็เกือบเที่ยงก็มุ่งตรงไปสู่อยุธยาปาร์คเพื่อไปเปลี่ยนค่ายมือถือ แต่เจ้ากรรมยุ่งยากมาก เพราะต้องเคลียร์บิลล์ของเครือข่ายเดิมก่อน ก็เลยไม่ได้เปลี่ยน จึงมุ่งหน้าตรงไปจุดมุ่งหมายสำคัญที่สุด คือ "ทองชุบกุ้งเผา" ที่อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี ซึ่งห่างจากอยุธยาแค่ 30 กม.เอง ร้านนี้เขาอยู่ในซอยวัดตราชูนะครับ มองหาป้ายดีๆ ทางเข้าวัดจะเยื้องกับนิคมอุตสาหกรรมพรหมบุรี มาถึงก็จัดหนักสั่งมาเลยเต็มที่ กุ้งเผา 1 กก. สนนราคาที่ 1,200 บาท (ได้อารมณ์กว่ากินที่ตลาดกลางเยอะ) ยำปลากรายและก็ต้มยำปลาม้า ทั้งหมดเบ็ดเสร็จพันสี่กว่าๆ สบายใจ ได้กุ้งสามตัวโตๆ มันก็คุ้ม ที่สำคัญมันกุ้งเยิ้มๆ เด็กในร้านเขาบอกว่าได้มาจากแม่น้้ำท่าจีน กุ้งแม่น้ำจริงๆด้วย ต้มยำนั้นปลาม้าก็ขาวจั๊ว ปลาชิ้นโต น้ำต้มยำก็แซ่บได้ใจ ยำปลากายก็ปลากายจริงๆ เหนี่ยวแต่นุ่ม ขาวได้ใจ ยอมรับเลยว่าร้านนี้อร่อยจริงๆ ผมว่ามันคุ้มมาก ราคาก็ถูกด้วย (ยกเว้นกุ้ง)
หลังจากอิ่มหนำแล้วก็ขับรถไปต่อที่อ.อินทร์บุรีเพื่อซื้อของฝากชื่อดังของสิงห์บุรีคือขนมเปี๊ยะ ซึ่งมีอยู่หลายเจ้า ลองไปหาเลือกซื้อดูเองล่ะกันนะครับ รวมถึงกุนเชียงด้วย ทั้งกุนเชียงหมูและปลา เลือกซื้อได้ตามร้านใหญ่ข้างทาง
สำหรับทริปนี้ก็หมดล่ะ ขากลับก็วกเข้าเส้นบ้านหมี่ ลพบุรี เพื่อหลีกเลี่ยงรถติดตอนเย็นวันอาทิตย์ หวังว่ารีวิววันนี้คงโดนใจหลายๆคนไม่มากก็น้อยนะครับ พบกันใหม่ครั้งหน้า สวัสดี....
วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555
ทะลอนเที่ยวตามกระแส BOI Fair ถึง Central Plaza RAMA 9
กลับมาอีกครั้งกับ Kin Over, Go Over รีวิวการท่องเที่ยวแบบไม่คิดเยอะ "ต้นทุนต่ำและมีคุณภาพ" ซึ่งวันนี้ (22 มกราคม) เป็นวันปีใหม่จีนหรือตรุษจีนพอดี ซึ่งวันนี้ขอรวบการรีวิวการไปท่องเที่ยวทั้งสองที่ๆเป็นกระแสพร้อมกันเลยทีเดียว
งานแรกเป็นงานระดับประเทศคืองาน BOI Fair 2011 งานแสดงสุดยอดนวัตกรรมและศักยภาพของผู้ผลิตในประเทศทั้งบริษัทต่างชาติและของไทยเอง โดยในตอนแรกจะจัดเดือนธันวาคมปีที่แล้ว แต่ติดปัญหาน้ำท่วมจึงต้องย้ายมาเดือนนี้แทน ซึ่งวันที่รีวิวนี้ก็เป็นวันสุดท้ายพอดี มีบูธหรือ Pavilion มากมาย การเดินทางไปเมืองทองธานี สถานที่จัดงานนั้นไม่ยากเลย สามารถขึ้นทางด่วนวงแหวนตะวันตกมาได้ หรือขึ้นทางด่วนขั้นที่สองก็ได้เช่นกัน เมื่อมาถึงมาจอดรถที่พื้นที่ลาน active square หรือจอดในอาคารจอดรถ (เสียตังค์) แล้วนั่งรถหรือเดินไปที่บริเวณลานโล่งข้างๆทะเลสาบเมืองทอง หลังจากเข้ามาก็มีการตรวจอาวุธเพื่อป้องกันความปลอดภัย ซึ่งพื้นที่ของงานแบ่งออกเป็นสองปีก ซ้าย-ขวา ให้เลือกเดิน มี Pavilion ของบริษัทใหญ่ๆมากมายให้เลือกชม ซึ่งเขียนวันเดียวคงไม่พอ เอาเป็นว่าเล่าคร่าวๆคือแต่ละบริษัทจะเน้นนวัตกรรมด้านพลังงานและผลิตภัณฑ์สีเขียว (Green Product) เป็นหลัก เช่น รถไฟฟ้าประหยัดพลังงานของค่ายรถมากมาย ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรทั้งสิ่งแวดล้อมและผู้ใช้ โดยสามารถเข้าไปดูภาพเพิ่มเติมได้ตามลิงค์เลย BOI Fair หรือ BOI Fair Facebook
ควันหลังเรื่องของกินในงานก็คือการผูกขาดของ McDonald ที่เปิดร้านตลอดข้างทางทั้งแบบรถขนาดเล็กและร้านขนาดใหญ่ โดยบีบบังคับขายเป็นชุดๆละประมาณ 170 บาท ซึ่งก็ไม่ได้มีใครโวยวายอะไร แต่ก็จะมีบางส่วนเป็นของซีพีใกล้ๆ Pavilion ของซีพีเอง
อีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมาก็มายลโฉมห้างเปิดใหม่แถวพระรามเก้าก็คือ เซ็นทรัลและโรบินสันพระรามเก้า ตั้งอยู่ครงข้ามกับตึกฟอร์จูน ทาวน์ ใหญ่เด่นเห็นได้ชัด โดยจุดประสงค์หลักของการมาที่นี่คือมาดูหนังในโรงหนังใหม่ที่เขามาใหญ่มาก มีถึง 11 โรง เพื่อมาดูหนังฟอร์มยักษ์อย่าง Underworld 4: Awakening
โดยหลังจากชมเสร็จก็ขอบอกเลยว่าภาคนี้ดิบกว่าทุกๆภาคทั้งเลือด หักกระดูก อวัยวะเหวอะๆสะใจแฟนๆแวมไพร์สาวไปเลย โดยถือ่าภาคนี้นั้นดีกว่า 3 ภาคมากและดีกว่า Resident Evil 4: Afterlife ด้วย
โดยก่อนที่จะเข้าไปชมหนังก็เดินชมไปรอบๆห้าง พบร้านค้ามากมาย โดยเซ็นทรัลแห่งนี้ถูกออกแบบมาเป็นแนวยาวตามข้อจำกัดของพื้นที่ มีทั้งหมด 7 ชั้น (สำหรับพลาซ่า) มีร้านค้ามากมายโดยแบ่งเป็นหมวดหมู่อย่างชัดเจน มีโรบินสันอยู่ภายใน (กลยุทธ์ใหม่ของเซ็นทรัลเขาล่ะ) ดูแล้วก็เหมือนเซ็นทรัลชลบุรีด้วยซ้ำ หลังจากเดินมาทั่วแล้วก็ขึ้นไปชั้นหก ซึ่งเป็นชั้นของร้านอาหารดังๆ ซึ่งจุดหมายอยู่ที่ร้าน Chabuton ร้านราเมนทีวีแชมเปี้ยน ซึ่งอยากลองไปชิมดูสักที ซึ่งเขาว่าเป็นเจ้าของแชมป์ทีวีแชมเปี้ยนปี 2002
โดยจริงๆแล้วเมนูของ "ชาบูตง" นั้นมีไม่เยอะมาก แค่ประมาณ 10 อย่างเท่านั้นราคาก็ตามเมนูที่ผมเอามาฝาก (ถ่ายจากเมนูจริงๆในโบรชัวร์ในร้าน) โดยเป็นราเมนประมาณ 7 อย่าง ซึ่งแตกต่างกันแค่น้ำเท่านั้น โดยน้ำซุปแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ แบบกลมกล่อม แบบเข้มข้นน้ำต้มกระดูกและแบบมิโสะ โดยผมนั้นได้สั่งมาสองแบบคือ Kara Kara Shio Tonkotsu หรือแบบน้ำซุปเข้มข้น และ Kara Kara Tonkotsu หรือแบบน้ำซุปกลมกล่อม
หลังจากราเมนมาก็จัดการชิมเลยแบบไม่ปรุงเพราะอยากรู้จริงๆที่ว่าราเมนญี่ปุ่นจริงๆนั้นเป็นยังไง เพราะกินแต่ฮาจิบัง โออิชิ นั้นรถชาติมันเป็นไทยมากเกินไป ซึ่งหลังชิมแบบจัดจ้านก่อนก็รู้รสของน้ำต้มกระดูกจริงๆ มันหอม ข้น หวานปนเค็มมากๆ รวมถึงแบบกลมกล่อมก็อร่อยจนบรรยายไม่ถูกๆจริง ต้องลองมากินดูนะครับ แต่ผมนั้นพูดได้คำเดียวว่าเป็นราเมนที่อร่อยที่สุดที่ผมได้เคยกินมาและถือว่าคุ้มกับราคาทีจ่ายไป
วันนี้พอแค่นี้ก่อน ติดตามรีวิวต่อไปได้เร็วๆนี้นะครับ
งานแรกเป็นงานระดับประเทศคืองาน BOI Fair 2011 งานแสดงสุดยอดนวัตกรรมและศักยภาพของผู้ผลิตในประเทศทั้งบริษัทต่างชาติและของไทยเอง โดยในตอนแรกจะจัดเดือนธันวาคมปีที่แล้ว แต่ติดปัญหาน้ำท่วมจึงต้องย้ายมาเดือนนี้แทน ซึ่งวันที่รีวิวนี้ก็เป็นวันสุดท้ายพอดี มีบูธหรือ Pavilion มากมาย การเดินทางไปเมืองทองธานี สถานที่จัดงานนั้นไม่ยากเลย สามารถขึ้นทางด่วนวงแหวนตะวันตกมาได้ หรือขึ้นทางด่วนขั้นที่สองก็ได้เช่นกัน เมื่อมาถึงมาจอดรถที่พื้นที่ลาน active square หรือจอดในอาคารจอดรถ (เสียตังค์) แล้วนั่งรถหรือเดินไปที่บริเวณลานโล่งข้างๆทะเลสาบเมืองทอง หลังจากเข้ามาก็มีการตรวจอาวุธเพื่อป้องกันความปลอดภัย ซึ่งพื้นที่ของงานแบ่งออกเป็นสองปีก ซ้าย-ขวา ให้เลือกเดิน มี Pavilion ของบริษัทใหญ่ๆมากมายให้เลือกชม ซึ่งเขียนวันเดียวคงไม่พอ เอาเป็นว่าเล่าคร่าวๆคือแต่ละบริษัทจะเน้นนวัตกรรมด้านพลังงานและผลิตภัณฑ์สีเขียว (Green Product) เป็นหลัก เช่น รถไฟฟ้าประหยัดพลังงานของค่ายรถมากมาย ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรทั้งสิ่งแวดล้อมและผู้ใช้ โดยสามารถเข้าไปดูภาพเพิ่มเติมได้ตามลิงค์เลย BOI Fair หรือ BOI Fair Facebook
ควันหลังเรื่องของกินในงานก็คือการผูกขาดของ McDonald ที่เปิดร้านตลอดข้างทางทั้งแบบรถขนาดเล็กและร้านขนาดใหญ่ โดยบีบบังคับขายเป็นชุดๆละประมาณ 170 บาท ซึ่งก็ไม่ได้มีใครโวยวายอะไร แต่ก็จะมีบางส่วนเป็นของซีพีใกล้ๆ Pavilion ของซีพีเอง
อีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมาก็มายลโฉมห้างเปิดใหม่แถวพระรามเก้าก็คือ เซ็นทรัลและโรบินสันพระรามเก้า ตั้งอยู่ครงข้ามกับตึกฟอร์จูน ทาวน์ ใหญ่เด่นเห็นได้ชัด โดยจุดประสงค์หลักของการมาที่นี่คือมาดูหนังในโรงหนังใหม่ที่เขามาใหญ่มาก มีถึง 11 โรง เพื่อมาดูหนังฟอร์มยักษ์อย่าง Underworld 4: Awakening
โดยหลังจากชมเสร็จก็ขอบอกเลยว่าภาคนี้ดิบกว่าทุกๆภาคทั้งเลือด หักกระดูก อวัยวะเหวอะๆสะใจแฟนๆแวมไพร์สาวไปเลย โดยถือ่าภาคนี้นั้นดีกว่า 3 ภาคมากและดีกว่า Resident Evil 4: Afterlife ด้วย
โดยก่อนที่จะเข้าไปชมหนังก็เดินชมไปรอบๆห้าง พบร้านค้ามากมาย โดยเซ็นทรัลแห่งนี้ถูกออกแบบมาเป็นแนวยาวตามข้อจำกัดของพื้นที่ มีทั้งหมด 7 ชั้น (สำหรับพลาซ่า) มีร้านค้ามากมายโดยแบ่งเป็นหมวดหมู่อย่างชัดเจน มีโรบินสันอยู่ภายใน (กลยุทธ์ใหม่ของเซ็นทรัลเขาล่ะ) ดูแล้วก็เหมือนเซ็นทรัลชลบุรีด้วยซ้ำ หลังจากเดินมาทั่วแล้วก็ขึ้นไปชั้นหก ซึ่งเป็นชั้นของร้านอาหารดังๆ ซึ่งจุดหมายอยู่ที่ร้าน Chabuton ร้านราเมนทีวีแชมเปี้ยน ซึ่งอยากลองไปชิมดูสักที ซึ่งเขาว่าเป็นเจ้าของแชมป์ทีวีแชมเปี้ยนปี 2002
โดยจริงๆแล้วเมนูของ "ชาบูตง" นั้นมีไม่เยอะมาก แค่ประมาณ 10 อย่างเท่านั้นราคาก็ตามเมนูที่ผมเอามาฝาก (ถ่ายจากเมนูจริงๆในโบรชัวร์ในร้าน) โดยเป็นราเมนประมาณ 7 อย่าง ซึ่งแตกต่างกันแค่น้ำเท่านั้น โดยน้ำซุปแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ แบบกลมกล่อม แบบเข้มข้นน้ำต้มกระดูกและแบบมิโสะ โดยผมนั้นได้สั่งมาสองแบบคือ Kara Kara Shio Tonkotsu หรือแบบน้ำซุปเข้มข้น และ Kara Kara Tonkotsu หรือแบบน้ำซุปกลมกล่อม
หลังจากราเมนมาก็จัดการชิมเลยแบบไม่ปรุงเพราะอยากรู้จริงๆที่ว่าราเมนญี่ปุ่นจริงๆนั้นเป็นยังไง เพราะกินแต่ฮาจิบัง โออิชิ นั้นรถชาติมันเป็นไทยมากเกินไป ซึ่งหลังชิมแบบจัดจ้านก่อนก็รู้รสของน้ำต้มกระดูกจริงๆ มันหอม ข้น หวานปนเค็มมากๆ รวมถึงแบบกลมกล่อมก็อร่อยจนบรรยายไม่ถูกๆจริง ต้องลองมากินดูนะครับ แต่ผมนั้นพูดได้คำเดียวว่าเป็นราเมนที่อร่อยที่สุดที่ผมได้เคยกินมาและถือว่าคุ้มกับราคาทีจ่ายไป
วันนี้พอแค่นี้ก่อน ติดตามรีวิวต่อไปได้เร็วๆนี้นะครับ
วันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2555
ขึ้นเขาใหญ่นครนายก แวะกินช่อชะมวง
สวัสดีชาว KOGO (Kin Over, Go Over) นี่เป็นบล็อกบันทึกการกินบวกการท่องเที่ยวแรก โดยจะพยายามรีวิวรายละเอียดที่คนอื่นเขาไม่ได้พูดถึงกันให้ได้มากที่สุดนะครับ
ช่วงเดือนธันวาคมปีที่แล้ว เป็นช่วงฤดูหนาวที่ถือว่าหนาวโอเคเลยทีเดียว ตอนแรกนึกๆว่าจะไปขับรถเล่นที่แถวเพชรบูรณ์และเขาค้อ แต่เนื่องจากตื่นสายไป เลยคิดว่าหาที่ขับรถเล่นๆใกล้ๆดีกว่า ในใจก็นึกถึงอาหารร้านอร่อยที่นครนายกที่อยากไปมานาน "ช่อชะมวง" เป็นร้านอาหารเก่าแก่แห่งหนึ่งของนครนายก จึงตัดสินใจว่าไปกินเสร็จแล้วขับรถขึ้นเขาใหญ่ทางนครนายกดีกว่า เลยตัดสินใจออกเดินทางประมาณ 11:00 น.
ขับรถออกจากตัวเมืองสระบุรี ไปทางพหลโยธินพอถึงตำบลหินกอง (ช่วงที่มีสะพานข้ามเยอะๆ) เลี้ยวซ้ายไปทางแยกหินกอง-วิหารแดงประมาณ 40 กม.ก็จะถึงอำเภอเมืองนครนายก ร้านช่อชะมวงนั้นหาได้ไม่แยก ให้แยกซ้ายออกไปทางน้ำตกสาริกา-นางรอง ขับรถมาเรื่อยๆก็ถึงร้านช่อชะมวง เป็นร้านอาหารไม่ใหญ่มากอยู่ติดถนนซ้ายมือ ใกล้ทางเข้าวังตะไคร้ สามารถจอดรถได้หน้าร้าน
พอเข้าไปในร้านก็มีคนมารับประทานมากพอควร แต่ก็ยังมีที่ว่างมาก ช่วงนี้ร้านกำลังปรับปรุงหน้าร้านอยู่เสร็จแล้วคงสวยดีไม่น้อย มาถึงก็นั่งแล้วตั้งใจสั่งเลย โดยจะเน้นไปที่อาหารที่ร้านแนะนำ มาถึงก็สั่งก่อนเลย "แกงหมูชะมวง" เป็นแกงน้ำข้นสีไม่ค่อยน่ากินเท่าไหร่ แต่พอตักเข้าปากต้องอุทาน "โอ้วแม่เจ้า!!!" ชิ้นหมู่เต็มๆคำผสมกับความเปรี้ยวของใบชะมวงทำให้กลิ่นและรสชาติออกหวานๆเปรี้ยวๆ ถือว่าเป็นทีเด็ดจริงๆยิ่งกินกับข้าวสวยร้อนๆจะดีมากเลย ต่อมาก็สั่งส้มตำ-ไก่ย่าง ซึ่งก็รสชาติทั่วๆไปไม่ซี๊ดซ๊าดมากเหมาะกับคนไม่กินเผ็ด แต่ไก่ยิ่งก็มีกลิ่นของขมิ้นทำให้หอมไปอีกแบบ
รายการต่อมาคือผัดฟักแม้วใส่เห็ด (เหตุเพราะอยากกินผัก) รสชาติก็ไม่ได้อู้หูอะไรมากมาย และรายการสุดท้ายคือ "เส้นจันทร์ผัดปู" เป็นเส้นจันทร์ผัดกับเหมือนผัดไทยและหมี่ผัดผสมกันสีชมพูน่ากินทีเดียว ใสก้ามปูชิ้นใหญ่ จานเบ้อเริ้ม กินสองคนยังไม่หมดเลย รสชาติหวานพอสมควรเหมาะกับเด็กๆ พอกินหมดก็อิ่มจัดอยากกลับบ้านเลย แต่ภารกิจยังมีต่อ
สำหรับรีวิว "ช่อชะมวง" ผมให้ 6.5 เต็ม 10 แต่อาหารของเขายังมีอีกเยอะนะครับลองเข้าไปดูที่เว็บไซต์ของร้านช่อชะมวงนะครับ
หลังจากอิ่มหนำสำราญก็เดินทางสู่เขาใหญ่ ก็ขับรถย้อนออกมาจากน้ำตกสาริกาไปทางปราจีนบุรี จะมีป้ายออกให้เลี้ยวซ้าย ตลอดเส้นทางก่อนถึงประตูด่านเก็บเงินแนะนำให้ซื้ออะไรตุนไว้กินก่อน เพราะหลังจากผ่านประตูไปแล้วจะไม่มีร้านค้านะครับ
จ่ายค่าเข้าไปทั้งหมด 130 บาทพอดี (ผู้ใหญ่ 2 คน 80 บาท รถยนต์ 50 บาท) เส้นทางขึ้นทางนครนายกจะถือว่าคลาสสิคมากกว่าทางปากช่องเพราะจะเป็นเนินไต่ขึ้นไป ขับรถไม่ยาก เกียร์ธรรมดาและออโต้ขับได้สบาย ไม่ชันเหมือนเส้นทางปากช่องตลาดเส้นทางจะพอจุดชมวิวเรื่อยๆรวมถึงฝูงลิงจะเรียงรายตลอดเส้นทาง ซึ่งเส้นนี้นั้นจะพบกับน้ำตกเหวนรกก่อนด้วย ช่วงน้ำมากๆก็น่าเดินเข้าไปเที่ยว พอถึงจุดศูนย์กลางของเขาใหญ่จะมีทางแยกไปทางผากล้วยไม้และทางลงทางปากช่อง ซึ่งผมก็เลือกกลับทางปากช่องเพราะเบื่อเส้นทางเดิม กลับถึงบ้านก็ห้าโมงเย็นพอดี ถือว่าเป็นทริปเบาๆวันเดียว (One day trip) ที่ใช้ได้เลย
หวังว่ารีวิวครั้งแรกนี้จะถูกใจใครหลายๆคนนะครับ ติดตามรีวิวใหม่ๆได้เร็วๆนี้ทาง Blogger และ Facebook
ช่วงเดือนธันวาคมปีที่แล้ว เป็นช่วงฤดูหนาวที่ถือว่าหนาวโอเคเลยทีเดียว ตอนแรกนึกๆว่าจะไปขับรถเล่นที่แถวเพชรบูรณ์และเขาค้อ แต่เนื่องจากตื่นสายไป เลยคิดว่าหาที่ขับรถเล่นๆใกล้ๆดีกว่า ในใจก็นึกถึงอาหารร้านอร่อยที่นครนายกที่อยากไปมานาน "ช่อชะมวง" เป็นร้านอาหารเก่าแก่แห่งหนึ่งของนครนายก จึงตัดสินใจว่าไปกินเสร็จแล้วขับรถขึ้นเขาใหญ่ทางนครนายกดีกว่า เลยตัดสินใจออกเดินทางประมาณ 11:00 น.
ขับรถออกจากตัวเมืองสระบุรี ไปทางพหลโยธินพอถึงตำบลหินกอง (ช่วงที่มีสะพานข้ามเยอะๆ) เลี้ยวซ้ายไปทางแยกหินกอง-วิหารแดงประมาณ 40 กม.ก็จะถึงอำเภอเมืองนครนายก ร้านช่อชะมวงนั้นหาได้ไม่แยก ให้แยกซ้ายออกไปทางน้ำตกสาริกา-นางรอง ขับรถมาเรื่อยๆก็ถึงร้านช่อชะมวง เป็นร้านอาหารไม่ใหญ่มากอยู่ติดถนนซ้ายมือ ใกล้ทางเข้าวังตะไคร้ สามารถจอดรถได้หน้าร้าน
พอเข้าไปในร้านก็มีคนมารับประทานมากพอควร แต่ก็ยังมีที่ว่างมาก ช่วงนี้ร้านกำลังปรับปรุงหน้าร้านอยู่เสร็จแล้วคงสวยดีไม่น้อย มาถึงก็นั่งแล้วตั้งใจสั่งเลย โดยจะเน้นไปที่อาหารที่ร้านแนะนำ มาถึงก็สั่งก่อนเลย "แกงหมูชะมวง" เป็นแกงน้ำข้นสีไม่ค่อยน่ากินเท่าไหร่ แต่พอตักเข้าปากต้องอุทาน "โอ้วแม่เจ้า!!!" ชิ้นหมู่เต็มๆคำผสมกับความเปรี้ยวของใบชะมวงทำให้กลิ่นและรสชาติออกหวานๆเปรี้ยวๆ ถือว่าเป็นทีเด็ดจริงๆยิ่งกินกับข้าวสวยร้อนๆจะดีมากเลย ต่อมาก็สั่งส้มตำ-ไก่ย่าง ซึ่งก็รสชาติทั่วๆไปไม่ซี๊ดซ๊าดมากเหมาะกับคนไม่กินเผ็ด แต่ไก่ยิ่งก็มีกลิ่นของขมิ้นทำให้หอมไปอีกแบบ
รายการต่อมาคือผัดฟักแม้วใส่เห็ด (เหตุเพราะอยากกินผัก) รสชาติก็ไม่ได้อู้หูอะไรมากมาย และรายการสุดท้ายคือ "เส้นจันทร์ผัดปู" เป็นเส้นจันทร์ผัดกับเหมือนผัดไทยและหมี่ผัดผสมกันสีชมพูน่ากินทีเดียว ใสก้ามปูชิ้นใหญ่ จานเบ้อเริ้ม กินสองคนยังไม่หมดเลย รสชาติหวานพอสมควรเหมาะกับเด็กๆ พอกินหมดก็อิ่มจัดอยากกลับบ้านเลย แต่ภารกิจยังมีต่อ
สำหรับรีวิว "ช่อชะมวง" ผมให้ 6.5 เต็ม 10 แต่อาหารของเขายังมีอีกเยอะนะครับลองเข้าไปดูที่เว็บไซต์ของร้านช่อชะมวงนะครับ
หลังจากอิ่มหนำสำราญก็เดินทางสู่เขาใหญ่ ก็ขับรถย้อนออกมาจากน้ำตกสาริกาไปทางปราจีนบุรี จะมีป้ายออกให้เลี้ยวซ้าย ตลอดเส้นทางก่อนถึงประตูด่านเก็บเงินแนะนำให้ซื้ออะไรตุนไว้กินก่อน เพราะหลังจากผ่านประตูไปแล้วจะไม่มีร้านค้านะครับ
จ่ายค่าเข้าไปทั้งหมด 130 บาทพอดี (ผู้ใหญ่ 2 คน 80 บาท รถยนต์ 50 บาท) เส้นทางขึ้นทางนครนายกจะถือว่าคลาสสิคมากกว่าทางปากช่องเพราะจะเป็นเนินไต่ขึ้นไป ขับรถไม่ยาก เกียร์ธรรมดาและออโต้ขับได้สบาย ไม่ชันเหมือนเส้นทางปากช่องตลาดเส้นทางจะพอจุดชมวิวเรื่อยๆรวมถึงฝูงลิงจะเรียงรายตลอดเส้นทาง ซึ่งเส้นนี้นั้นจะพบกับน้ำตกเหวนรกก่อนด้วย ช่วงน้ำมากๆก็น่าเดินเข้าไปเที่ยว พอถึงจุดศูนย์กลางของเขาใหญ่จะมีทางแยกไปทางผากล้วยไม้และทางลงทางปากช่อง ซึ่งผมก็เลือกกลับทางปากช่องเพราะเบื่อเส้นทางเดิม กลับถึงบ้านก็ห้าโมงเย็นพอดี ถือว่าเป็นทริปเบาๆวันเดียว (One day trip) ที่ใช้ได้เลย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)